ทำไม ‘ธุรกิจครอบครัว’ จึงต้องกลับมามองเรื่องหุ้น?
ธุรกิจครอบครัวอย่างเราต้องมาจัดโครงสร้างการถือหุ้นทำไมกัน?
“เป็นแบบนี้ดีอยู่แล้ว มันไม่ดีตรงไหน?”
“พูดไปเดี่ยวก็ทะเลาะ”
“จัดไปเดี่ยวลูกไม่รัก ผิดใจกันเปล่า ๆ”
“ที่โชว์กับราชการมันไม่ตรงกับความจริงหรอก”
—————
จากประสบการณ์การเป็นที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัว คำพูดเช่นนี้มักเกิดขึ้นเกือบทุกครอบครัว
ปรากฎการณ์เช่นนี้มักเกิดขึ้นกับธุรกิจครอบครัวที่มีอายุมานาน โดยมีญาติ พี่น้อง ลูกหลาน เข้ามาเกี่ยวข้องในธุรกิจไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง การไปพูดเรื่องหุ้นมักแสดงถึงบางอย่างที่จะเปลี่ยนไป และมีผลกระทบกับเราในฐานะผู้ถือหุ้น และลูกหลานไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง ซึ่งในหลายครั้งการพูดคุยถึงหุ้นภายในครอบครัว คนเปิดเรื่องจะต้องรวบรวมความกล้าที่จะพูด และทุกคนจะต้องใช้แรงกาย แรงใจ แรงเสียดทานในการคุยกันอย่างมากเพื่อให้ในสัดส่วนการถือหุ้นที่ทุกคนต้องการ
ซึ่งเมื่อครอบครัวคิดถึงเรื่องที่กำลังจะเกิด สมาชิกครอบครัวก็ไม่กล้าที่จะเผชิญ และเก็บคำว่าหุ้น ‘ไว้ใต้พรม’ ซึ่งทุกคนต่างรู้ดีอยู่แก่ใจว่าวันนึงก็ต้องคุยกัน การกระทำเช่นนี้เรากำลังประวิงเวลาเพื่อ ‘เลี่ยงการประทะในปัจจุบัน แต่ทำให้ผลเสียมหาศาลในอนาคต’ หรือไม่?
ในวันนี้ผมจะมาพูดถึงว่า ทำไม ‘ธุรกิจครอบครัว’ ควรต้องกลับมามองเรื่องหุ้น และหันกลับมาพูดคุยกันโดยเร็ว เพื่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกแก่สมาชิกครอบครัวทุกคน
—————
‘หุ้น’ สะท้อนความหมายได้หลายอย่าง ขึ้นอยู่กับแต่ละครอบครัวให้นิยามมัน และหุ้นอาจจะมีหลายความหมายในตัวมันเองขึ้นอยู่กับผู้รับนั้นก็เป็นได้ ทั้งนี้ จากการให้คำปรึกษาลูกค้า ผมขอยกตัวอย่างเบื้องต้น ดังนี้
หุ้นสะท้อน “ความเป็นเจ้าของ”
หุ้นสะท้อน “ความเป็นเจ้าภาพ”
หุ้นสะท้อน “การกำกับดูแล”
หุ้นสะท้อน “คุณงามความดีในอดีต”
หุ้นสะท้อน “ความสามารถในอนาคต”
หุ้นสะท้อน “ผลงานในปัจจุบัน”
หุ้นสะท้อน “ความเป็นมืออาชีพ”
หุ้นสะท้อน “การสืบทอดกิจการ”
หุ้นสะท้อน “คุณงามความดีในอดีต” และ
หุ้นสะท้อน “ความเป็นครอบครัว”
ความหมายของหุ้นของแต่ละครอบครัวนั้นย่อมได้มาจากการพูดคุย ตกผลึกกันภายในครอบครัว เพราะว่าทุกคนล้วนแล้วมีปัจเจกความคิด และประสบการณ์ที่สั่งสอนกันมาที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งล้วนแล้วย่อมสร้างนิยามคำว่าหุ้นที่แตกต่างกันเป็นเรื่องธรรมดา
การย้อนกลับมามอง และพูดคุยกันเรื่องหุ้นในสมาชิกครอบครัวทั้งรุ่นผู้ใหญ่ และรุ่นหลังแม้จะดูยาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ทั้งนี้ การพูดคุยจะต้องอาศัยความเป็นกลางในการสนทนา ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ออกมานั้นย่อมมีผลดีอย่างคาดไม่ถึง
ครอบครัวหนึ่งที่ผมได้ดูแลได้มีการพูดคุยกันเรื่องหุ้นกันระหว่างสมาชิกครอบครัวทุกคน และปรับโครงสร้างการถือหุ้นภายในกลุ่มธุรกิจ จากแผนดังกล่าว ผลลัพธ์ที่ได้คือ มีโครงสร้างหุ้นที่เป็นปัจจุบัน การทำงานสะท้อนเจ้าภาพที่ทำงาน มีการคิดเชิงกลยุทธ์ และเอาหุ้นมาเป็นเครื่องมือในการวางแผนสืบทอดกิจการ และที่สำคัญ สมาชิกครอบครัวทุกคนสามัคคี และมีความเป็นครอบครัวกันมากขึ้น ซึ่งนั้นถือว่าเป็นผลลัพธ์เชิงบวกที่หลายธุรกิจครอบครัวต้องการไม่ใช่หรือ?
อย่างไรก็ดี หากเราไม่คุยเรื่องหุ้นภายในครอบครัว หลากหลายความเสี่ยงย่อมที่จะเกิดขึ้นภายในธุรกิจครอบครัวของเราเอง หนึ่งในเหตุการณ์ที่ผมได้เจอในฐานะที่ปรึกษาให้กับธุรกิจครอบครัวหนึ่งที่ไม่ได้คุยกันเรื่องหุ้นมาเป็นระยะเวลานานกว่า 40+ ปี นั้นก็คือ เมื่อรุ่นผู้ใหญ่เลือกที่จะเลี่ยงการเผชิญหน้าเพื่อนิยามให้ชัดเจน ลูกหลานที่อยู่กับภาวะนี้มานานก็ย่อมเอือมละอา เบื่อหน่าย และสุดท้ายตัดสินใจ ‘ออกจากธุรกิจครอบครัว’ เพื่อไปทำตามแนวทางที่ตนเองวางเอาไว้
เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องน่าเสียดายภายในครอบครัวเราอย่างที่สุด เนื่องจากครอบครัวนั้นได้เสียบุคลากรที่มีความสามารถ และเป็นดั่งความหวังของครอบครัว เพื่อสืบทอดธุรกิจครอบครัวต่อไป เหตุเพราะการเลี่ยงที่จะเผชิญหน้า และไม่กำหนดทิศทางอย่างชัดเจน แม้เหตุการณ์ดังกล่าวจะสามารถกู้คืนมาได้ แต่ก็เรียกได้ว่า 'ฉิวเฉียด' เสียน้ำตากันไม่รู้กี่รอบ และเป็นบทเรียนของครอบครัวที่จะไม่ ‘วัวหายล้อมคอก’ อีก
—————
เรื่องราวทั้ง 2 เหตุการณ์ล้วนแล้วเป็นผลกระทบทั้ง 2 แบบ ที่มาจากการเลือกบริหารจัดการ ‘หุ้น’ ที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ อนาคตของธุรกิจครอบครัวของเรา พวกเราล้วนแล้วสามารถช่วยกันกำหนดออกมาได้ หากครอบครัวเราเริ่มหันกลับมามองเรื่องหุ้น และเริ่มมองให้หุ้นนั้นไม่ใช่ ‘คำแสลง’ แต่เป็น ‘เครื่องมือ’ ในการสานต่อธุรกิจครอบครัวเพื่ออนาคตของลูกหลานเราต่อไป