คำสาปรุ่นที่ 3 เกิดจากอะไร?
คำสาปรุ่นที่ 3 (Three-Generation Curse) คำคุ้นที่หลายคนเคยได้ยินเมื่อธุรกิจครอบครัวได้เดินทางมาสู่รุ่นที่ 3 และเป็นความเชื่อว่าธุรกิจครอบครัวจะไม่สามารถดำเนินไปต่อได้เมื่อได้ส่งต่อมายังรุ่นที่ 3 หากเราได้ดูตัวเลขตามสถิติงานวิจัยแล้ว จะพบได้ว่าอัตราการอยู่รอดของกิจการครอบครัวเมื่อได้ส่งต่อจากรุ่นที่ 2 มาสู่รุ่นที่ 3 นั้นมีเพียง 13% (โดยประมาณ) ที่สามารถส่งต่อ และดำรงอยู่ได้ต่อเนื่อง นั้นหมายความว่ามีธุรกิจครอบครัวถึง 87% ที่ได้โดนคำสาปรุ่นที่ 3 เล่นงาน จากงานวิจัย และสิ่งที่ทุกคนได้ประสบในทางปฏิบัติแล้ว เราคงคิดได้แต่ว่า คำสาปรุ่นที่ 3 อาจมีอยู่จริงก็เป็นได้...?
จากประสบการณ์การเป็นที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัว ที่ได้เห็นหลายกงสีอยู่รอด เติบโต และร่วงโรยไปตามพลวัตรของโลกธุรกิจ คงอาจสรุปได้ว่า “คำสาปรุ่นที่ 3” นั้น “มีจริง” โดยที่กงสีที่ไม่สามารถส่งต่อ และบริหารได้นั้น ไม่ได้สร้างองค์ประกอบที่สำคัญเพื่อสนับสนุนการส่งต่อ และเติบโตของธุรกิจครอบครัวจากรุ่นสู่รุ่น โดยจะมี 4 องค์ประกอบหลัก ประกอบไปด้วย 1) วิสัยทัศน์ร่วม 2) โครงสร้าง 3) ธรรมาภิบาล 4) การสืบทอด
เข้าใจแบบแผนการดำเนินธุรกิจครอบครัวเพื่อรุ่นถัดไป
แบบแผนการดำเนินธุรกิจครอบครัวเพื่อรุ่นถัดไป หรือ Family Business Multi-Generation Framework (“FeF”) เป็นกรอบการบริหารธุรกิจครอบครัวที่มีการวางแผนระยะยาวเพื่ออนาคต หรือเรียกได้ว่าเป็นการวางแผนธุรกิจเพื่อรุ่นถัดไป (Multi-Generation Business Planning) โดยที่ธุรกิจครอบครัวจะต้องพิจารณาถึงองค์ประกอบที่หลากหลายในมิติของธุรกิจ และครอบครัวซึ่งมีความแตกต่างจากธุรกิจทั่วไป ที่มองถึงการเติบโต และการคืนทุนแก่เหล่าผู้ถือหุ้น และ/หรือนักลงทุน เป็นแนวทางในการวางแผนธุรกิจครอบครัวให้สามารถดำเนินธุรกิจให้เติบโต บริหารธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความยั่งยืนในฝั่งความมั่งคั่งของธุรกิจ และครอบครัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีแบบแผนการบริหารกิจการอยู่ 4 ปัจจัย ประกอบไปด้วย 1) วิสัยทัศน์ร่วม 2) โครงสร้าง และการเปลี่ยนแปลง 3) ธรรมาภิบาล 4) การพัฒนาบุคลากร และการสืบทอด
การที่ธุรกิจครอบครัวได้นำ FeF ไปเป็นแนวทางในการบริหารกงสี จะเป็นการสร้างกระบวนการพัฒนาธุรกิจครอบครัวให้ตอบโจทย์อนาคตตามที่สมาชิกครอบครัวได้พิจารณาร่วมกัน ผ่านการพูดคุย หาข้อตกลงระหว่างสมาชิกครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการ หรือสมาชิกครอบครัวที่ไม่ได้เป็นส่วนเกี่ยวข้อง รวมถึงสร้างจุดร่วมในการหาจุดประสงค์ในการดำเนินธุรกิจครอบครัวต่อเนื่องไป ในหลายธุรกิจครอบครัวที่มีการพูดวิสัยทัศน์ ย่อมต้องมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างกิจการ โครงสร้างการถือหุ้น โครงสร้างการทำงาน โครงสร้างระบบปฏิบัติการ และโครงสร้างครอบครัว เพื่อให้เกิดความเป็นมืออาชีพ สอดรับกับอนาคตที่เป็นข้อตกลงของกงสี ซึ่งจะต้องมีการบริหารเปลี่ยนแปลงทั้งภายในบริษัท และในครอบครัวเพื่อสร้างความคุ้นชินกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ กระบวนการของการสร้างธรรมาภิบาลเป็นการสร้างกฎระเบียบภายในกงสี (ธุรกิจ และครอบครัว) สร้างแนวทางการสื่อสาร ความชัดเจนโปร่งใส ให้สอดรับกับวิสัยทัศน์ และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่กำลังจะดำเนินการ ในท้ายที่สุดคือเมื่อกงสีมีวิสัยทัศน์ โครงสร้าง และธรรมาภิบาล การพัฒนาบุคลากรภายในธุรกิจ และครอบครัวเพื่อวางแผนการสืบทอดกิจการอย่างเป็นระบบ รวมไปถึงสร้างกระบวนการการสืบทอดความเป็นเจ้าของ และการบริหารอย่างมีประสิทธิ
ในการปรับใช้ FeF อย่างครบทุกองค์ประกอบ จะสามารถทำให้ธุรกิจครอบครัวสามารถก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ สามารถวางแผนพัฒนากิจการเพื่อส่งต่อกิจการได้จากรุ่นสู่รุ่นตามที่ทุกธุรกิจครอบครัวได้หวังไว้ อย่างไรก็ดี หากธุรกิจครอบครัวไม่ได้ปรับใช้กระบวนการดังกล่าว หรือขาดตกบกพร่องในการพัฒนาองค์ประกอบใด อาจทำให้กงสีเกิดความเสี่ยงในการสานต่อธุรกิจ ซึ่งอาจส่งผลไปสู่การชะลอตัวของกิจการครอบครัว ไม่สามารถสร้างความมั่งคั่งให้กับธุรกิจครอบครัว ทำให้ไร้ผู้สืบทอด (เพราะไม่มีคนสนใจสานต่อ) จนถึงขั้นศูนย์สิ้นความเป็นธุรกิจครอบครัวไป
ขาดองค์ประกอบ: วิสัยทัศน์ร่วม
ทุกธุรกิจจำเป็นอย่างมากที่ต้องมีวิสัยทัศน์ ไม่เว้นแม้แต่ธุรกิจครอบครัว เพียงแต่ธุรกิจครอบครัวเป็นหนึ่งรูปแบบธุรกิจที่จะต้องมองถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) ที่เป็นสมาชิกครอบครัว (Family Stakeholders) ไม่เหมือนกับองค์กรทั่วไปที่วิสัยทัศน์ (นโยบาย) ส่วนใหญ่จะมาจากการลงมติของผู้ถือหุ้นเสียงข้างมาก (ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50) ธุรกิจครอบครัวนั้นแตกต่าง เนื่องจากเรื่องราวประวัติศาสตร์ ความเกี่ยวข้องกับความเป็นไป ความมั่งคั่งครอบครัว และผู้สืบทอดกิจการล้วนแล้วก็มีคำว่าระบบครอบครัว (Family System) เข้ามาเกี่ยวข้อง การที่หลายธุรกิจครอบครัวไม่ได้รวมระบบครอบครัว (ประวัติศาสตร์ ค่านิยม นโยบายความมั่งคั่งครอบครัว ฯลฯ) เข้ามาอยู่ในสมการการกำหนดวิสัยทัศน์ ให้กลายเป็นวิสัยทัศน์ร่วมครอบครัว แต่กลับดำเนินเฉกเช่นกิจการทั่วไปที่เน้นแต่เสียงของผู้ถือหุ้น ไม่รับฟังเสียงของครอบครัว หรือมักมีคำกล่าวหลากหลายเช่น คนนี้ถือหุ้นเยอะ / เราถือหุ้นเยอะ “ไม่ต้องไปฟังคนอื่น” หรือเขาไม่เกี่ยวกับธุรกิจ ดังนั้น “เขาน่าจะไม่มีสิทธิออกความเห็น” แต่หารู้หรือไม่การไม่มองวิสัยทัศน์ร่วมกันจะทำให้ความเป็นธุรกิจครอบครัวน้อยลง และนโยบายธุรกิจจะเริ่มแตกต่างกับนโยบายของครอบครัว ซึ่งจะทำให้เกิดข้อขัดแย้งของครอบครัวในอนาคต
ธุรกิจครอบครัวหนึ่งที่ให้คำปรึกษาเคยกำหนดวิสัยทัศน์ธุรกิจครอบครัวโดยคนในครอบครัวคนเดียว มีพี่คนโตที่คิดว่าความคิดตัวเองถูกต้องที่สุด คิดว่าเค้าทำให้ทุกคน และไม่มีใครสามารถล้มล้างความเห็นได้ การดำเนินธุรกิจเกิดได้โดยการสั่งการจากพี่โตสู่น้อง และหลาน เมื่อคนอื่นไม่ได้มีส่วนร่วมในกงสีความดึงดูด น่าสนใจในธุรกิจครอบครัวจึงน้อยถอยลง และเกิดวลีภายในหมู่เครือญาติว่า “เข้าไปแล้วได้อะไร ในเมื่อสุดท้ายพี่โต และลูกเค้าก็น่าจะได้สานต่อธุรกิจอยู่ดี” แต่ปัญหาคือลูกคนเดียวของพี่คนโต “ไม่สนใจ” ในการสานต่อกิจการครอบครัวเพราะเป็นหมอ ข้อเท็จจริงในธุรกิจครอบครัวดังกล่าวทำให้เกิดความเสี่ยงในเรื่องของ ความไม่สนใจในกิจการครอบครัว ไร้โครงสร้างจากการพี่โตสั่งน้องและหลาน ไม่มีธรรมาภิบาลครอบครัวเหตุเพราะการสื่อสารไม่มี และไม่มีผู้สืบทอดเพราะลูกคนโตไม่สนใจผนวกกับหลานที่มองไม่เห็น Career Path ของตัวเอง
จากการได้เข้าไปช่วยธุรกิจครอบครัวดังกล่าว ได้ให้คำปรึกษาโดยการเริ่มต้นหาวิสัยทัศน์ร่วมโดยมีสมาชิกครอบครัวคนอื่นเข้ามาวางวิสัยทัศน์ (รวมถึงรุ่นถัดไป) และนำกรอบ FeF เข้ามาปรับใช้ ทำให้กงสีได้เข้าใจบริบทระหว่างกันมากขึ้น ซึ่งสามารถกำหนดวิสัยทัศน์ที่แตกต่าง แต่ยังสามารถเป็นจุดร่วมกันภายในครอบครัว รวมไปถึงสร้างความสนใจ ดึงดูดให้หลานกลับเข้าไปทำงานในกิจการครอบครัวเพราะมองเห็นอนาคตในสายอาชีพ ความมั่นคงส่วนตัว และความเป็นเจ้าของร่วมในอนาคต
ขาดองค์ประกอบ: โครงสร้าง
โครงสร้างคือมิตรแท้ “Structure is a friend” คำพูดของบริษัทยักษ์ใหญ่ และเป็นหลักการที่ทุกกงสีควรที่จะปรับใช้ในองค์กรการวางโครงสร้างที่ดีในกงสีไม่ใช่การวางโครงสร้างเพื่อตอบโจทย์ความต้องการปัจจุบันเพียงอย่างเดียว (Current Pain) แต่การวางโครงสร้างต้องตอบอนาคตของกงสีตามวิสัยทัศน์ร่วมที่ได้มีนโยบายได้เช่นเดียวกัน (Future Gain) หนึ่งในจุดบอดของธุรกิจครอบครัวคือการมองหาโครงสร้างที่ทำให้ตนเองสบายในปัจจุบัน แต่ไม่ได้คิดต่อไปสำหรับอนาคต หรืออีกกรณีคือการมองว่าสิ่งที่สำเร็จในอดีต (โครงสร้าง สูตรในอดีต) ก็เป็นแนวทางความสำเร็จในอนาคต หนังสือเล่มหนึ่งเขียนโดย Marshall Goldsmith ชื่อ What Got You Here Won't Get You There เขียนไว้อย่างชัดเจนว่าเมื่อไหร่ที่ธุรกิจ (ประเภทใดก็ตาม) ได้หยุดนิ่งในการพัฒนาเพียงเพราะคิดว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นดีอยู่แล้ว เมื่อนั้นคือความเสื่อมถอยของกิจการซึ่งมีความเสี่ยงทำให้ธุรกิจสามารถล้มสลายได้อย่างง่ายดาย
แล้วโครงสร้างแบบใดที่หลายครอบครัวได้ขาดหายไป? โครงสร้างที่ขาดหายคือการขาดการวางโครงสร้างกิจการ การมองว่าเมื่อวิสัยทัศน์ร่วมเป็นอย่างไร โครงสร้างกลุ่มบริษัทก็ควรที่จะปรับเปลี่ยนเพื่อรองรับอนาคตที่กำลังจะก้าวเดิน ต่อมาคือโครงสร้างการถือหุ้นที่ยังไม่ได้แบ่งชั้นอย่างชัดเจน มีการรวมศูนย์หุ้นโดยมองว่าหุ้นทุกสัดส่วนเป็นหุ้นกงสี จึงไม่ได้มีจัดสรรหุ้นอย่างชัดเจนโปร่งใส สะท้อนถึงความเป็นครอบครัว สะท้อนถึงเจ้าภาพคนทำงานตามแต่ละบริษัท หรือสะท้อนถึงผู้บริหารแต่อย่างใด เมื่อไม่ได้จัดโครงสร้างการถือหุ้น ความรู้สึกถึงเป็นเจ้าของก็จะน้อยลง ทำมากได้เท่าทำน้อยก็ได้เท่า แล้วเหตุใดตนเองจะต้องทำในเมื่อทุกคนได้เท่ากันเล่า? ในอดีตโครงสร้างการถือหุ้นแบบหารเท่าอาจเป็นโครงสร้างที่ตอบโจทย์ แต่ ณ ปัจจุบันอยากให้ทุกกงสีลองถามตนเองว่าคำว่าเท่ากันมันเหมาะสมแก่ทุกคนแล้วหรือยัง เมื่อไม่ได้วางโครงสร้างกิจการ และการถือหุ้นแล้วนั้น โครงสร้างองค์กรรวมไปถึงระบบการทำงานย่อมมีผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเมื่อไม่มีเจ้าภาพทำงาน หรือมีเจ้าภาพหลายคนอยู่ในที่เดียวกัน “เสือหลายตัวอยู่ในถ้ำเดียวกัน” อาการขัดแย้งงัดกันเองภายในครอบครัวย่อมเกิดขึ้น ส่งผลต่อ Work Flow และความเป็นมืออาชีพขององค์กร สร้างความซ้ำซ้อน และความมึนงงให้แก่พนักงานรวมไปถึงคนในครอบครัวกันเองว่าใครคือเจ้าของงาน เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเพียงเพราะ “ไม่ได้จัดโครงสร้าง”
หลายธุรกิจครอบครัวที่ได้ไปให้คำปรึกษามักชอบจับทุกโมเดลธุรกิจ (Business Model) รวมไว้อยู่ในที่เดียวกัน รวมศูนย์คนกงสีเอาไว้ในกิจการเดียวกัน ซึ่งนั้นทำให้เกิดความขัดแย้งเพราะต่างคนต่างความคิด อยากขยับขยายตามแนวทางตนเอง คนรุ่นใหม่ไม่ผิดที่จะคิดแบบนั้น เหตุเพราะการศึกษาที่ได้รำเรียนมา ประสบการณ์ของคนรุ่นใหม่นั้นผลักดันให้พวกเขาอยากจะพัฒนาธุรกิจครอบครัวต่อไปให้ดีกว่าเดิมแต่ “ทำไม่ได้” เนื่องจาก “โครงสร้างไม่เอื้อ” เนื่องจาก “ทุกอย่างรวมศูนย์” คำถามคือ เมื่อครอบครัวเติบโตขึ้น กิจการต้องขยายตามให้ทันหรือไม่? เพื่อไม่ให้คนกงสีเหยียบเท้ากัน
อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่หลายกงสีมักมองข้ามคือ บางครอบครัวได้มีการวางโครงสร้างให้สอดรับกับวิสัยทัศน์จึงว่างโครงสร้างกิจการ รูปแบบการถือหุ้นรวมไปถึงระบบทำงานอย่างดี แต่สิ่งที่ขาดคือ “การบริหารการเปลี่ยนแปลง” (Change Management) การไม่มีการเปลี่ยนแปลงก็เทียบเท่ากับไม่ได้นำโครงสร้างไปปรับใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำทุกอย่างเหมือนเดิม ระบบการเงิน นโยบายการจ่ายเงินปันผล รูปแบบการทำงาน ทุกอย่างไม่เปลี่ยนไปแปลงไปจากเดิม สุดท้ายแม้จะมีโครงสร้างใหม่ แต่นั้นเป็นเพียงแค่สิ่งที่อยู่ในกระดาษไม่ได้เกิดขึ้นจริง และเมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามคาด ทุกอย่างก็กลับไปสู่สภาวะโครงสร้างเดิม ไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลง “โครงสร้างจะสำเร็จได้อยู่ที่พฤติกรรม ไม่ใช่เจตนา” และนั้นเป็นโครงสร้างที่หลายกงสีขาดหาย ซึ่งทำให้ไม่อาจก้าวข้ามคำสาปรุ่นที่ 3 ไปได้
ขาดองค์ประกอบ: ธรรมาภิบาล
ธรรมาภิบาลคือการรวมคำระหว่าง ธรรมะ = ความถูกต้อง ความดีงาน และอภิบาล = การอุปถัมภ์ ดูแลรักษา ดังนั้นธรรมภิบาลในกงสีคือการดูแลรักษาความถูกต้องภายในธุรกิจ และครอบครัว หลายกงสีมีธรรมาภิบาลที่ฝังอยู่ในระบบการจัดการภายในกงสีอย่างไม่ทันตั้งตัว ทั้งกฎที่ทุกคนรู้ๆ กัน รูปแบบการสื่อสารที่เคยใช้ได้สมัยก่อน ความโปร่งใสในฉบับกงสีเดิมที่อาจเป็นการรวมศูนย์ไว้ที่คนๆ เดียว ความถูกต้องในหลักธรรมาภิบาลย่อมต้องมีกฎระเบียบ มีการสื่อสาร และความโปร่งใสที่เหมาะสมในแต่ละครอบครัว แต่สำคัญที่สุดคือการปรับเปลี่ยนธรรมาภิบาลให้เป็นไปตามยุคสมัยทั้งปัจจุบัน และอนาคต ในหลายครอบครัวได้มีการนำธรรมนูญครอบครัวเป็นเครื่องมือในการสร้างกฎระเบียบภายในกงสี สร้างกฎระเบียบให้ชัดเจนโดยมีเจตนาให้กฎดังกล่าวเป็นเหมือนกรอบการดำเนินธุรกิจ และระบบการบริหารครอบครัว แต่ถึงกระนั้น ก็มีหลายธุรกิจครอบครัวจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่ได้สร้างธรรมาภิบาลกงสีอย่างเป็นรูปธรรม ยังซ่อนกฎระเบียบ การสื่อสาร และไม่มีความโปร่งใส ซ่อนบางสิ่งหลีกเลี่ยงบางอย่างเพื่อจะไม่ต้องนำมาพูดคุยเปิดเผยในครอบครัว เป็นดั่งภูเขาน้ำแข็งที่ไม่มีกล้าแตะต้องเพราะแม้จะพูดคุยเล็กน้อยก็เป็นเรื่อง แม้ว่าจะเป็นการจงใจออกแบบให้ไม่ชัดเจนหรือไม่ การขาดองค์ประกอบของธรรมาภิบาลก็ทำให้ธุรกิจครอบครัวไม่มีความเป็นมืออาชีพอย่างที่หลายครอบครัวรู้สึก
เมื่อขาดธรรมาภิบาล ธุรกิจก็ขาดความเป็นมืออาชีพ ยิ่งถ้าหากขาดวิสัยทัศน์ และโครงสร้างกิจการก็ไม่ต่างจากระบบเถ้าแก่เดิมที่ยังไม่ได้มีการพัฒนา ทุกอย่างไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีความโปร่งใส และไม่เกิดการต่อยอดในธุรกิจครอบครัว ความมั่งคั่งในกงสีหากไม่ทรงตัวก็ถดถอยไปตามเงินเฟ้อ และสุดท้ายหากสมาชิกครอบครัวคนใดยังทำงานในธุรกิจครอบครัวก็จะเริ่มเข้าสู่ทางเลือกสุดท้ายคือการแก่งแย่งความมั่งคั่งอันเพียงน้อยนิดของกงสี แก่นของธุรกิจครอบครัวที่สร้างไว้เพื่อความมั่งคั่งของทั้งกงสีก็จะจากหายในท้ายที่สุด
กรณีศึกษาหนึ่งของของธุรกิจครอบครัวที่ผลิต และส่งออกสินค้าเกษตรไปต่างประเทศยอดมากกว่า 1,000+ ล้านบาท ทำธุรกิจใหญ่โตจากอากงรุ่นที่ 1 ส่งต่อมายังรุ่นที่ 2 และกำลังมีรุ่นที่ 3 “หลายคน” ที่ก้าวเข้ามาสู่การบริหาร เวลาล่วงเลยมาช่วงหนึ่งธุรกิจจำเป็นต้องใช้เครื่องปั่นไฟสำรองมาใช้งานเนื่องจากเกิดเหตุขัดข้องทางด้านระบบไฟฟ้า แต่แล้วครอบครัวก็ได้มาทราบว่าเครื่องปั่นไฟสำรองนั้นไม่อยู่ เหตุเพราะรุ่นที่ 3 คนหนึ่งได้ทำกิจการส่วนตัวเป็นที่พักตากอากาศอยู่ที่ต่างจังหวัด ด้วยความรู้สึกเสียดายจึง “ขอยืม” เครื่องปั่นไฟสำรองที่ไม่ได้ใช้มาใช้ก่อน เหตุการดังกล่าวทำให้ธุรกิจครอบครัวสูญเงินไปหลายสิบล้านเนื่องจากการผลิตที่ล่าช้า สืบสาวเรื่องราวเพิ่มเติมรุ่นที่ 3 ที่ทำธุรกิจส่วนตัวก็ได้ให้ฝ่ายการตลาดของธุรกิจครอบครัวไปใช้งานเพื่อการส่วนตัวโดยที่ไม่ได้บอกคนในครอบครัว ทำให้เกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมาก และทำให้เกิดข้อพิพาทภายในครอบครัวเพราะหลักการที่ว่าจริงหรือไม่ที่ทรัพย์สินในธุรกิจสามารถหยิบใช้ได้โดยคนในครอบครัว ด้วยเหตุดังกล่าวจึงทำให้คนในครอบครัวต้องย้อนกลับมามองตั้งแต่หลักการกฎระเบียบภายในบ้านว่าอะไรเป็นของกงสี อะไรคือของส่วนตัว และได้จัดทำธรรมนูญครอบครัวขึ้นเพื่อเป็นข้อตกลงกลางภายในครอบครัว
ขาดองค์ประกอบ: การสืบทอด
ธุรกิจทุกรูปแบบย่อมต้องมีการสืบทอดกิจการ โดยเฉพาะธุรกิจครอบครัวที่มีรูปแบบการสืบทอดที่แตกต่างจากทุกธุรกิจ การสืบทอดธุรกิจครอบครัวเป็นดั่งการวางแผนระยะยาวของเจ้าของเดิม (ผู้ถือหุ้น) โดยปกติแล้วจะเป็นพ่อแม่ หรือญาติของรุ่นก่อนหน้า โดยมีความคาดหวังให้รุ่นถัดไปเข้ามาสืบทอดต่อในกิจการที่เขา หรือครอบครัวได้สร้างขึ้น (แม้ว่าจะรู้ตัวหรือไม่) อย่างไรก็ตามหลายธุรกิจครอบครัวแม้มีความคาดหวัง แต่การกระทำก็ไม่ได้สอดคล้องไปกับเจตนารมณ์แต่อย่างใด หลายกงสีขาดการสืบทอดอย่างเป็นระบบ เพราะคาดหวังปรากฎการณ์ให้คนรุ่นใหม่หักมาสนใจ ผูกพันธ์กับธุรกิจครอบครัว และอยากสืบทอดธุรกิจครอบครัวในท้ายที่สุด แต่กลับลืมวางแผนในเรื่องของการบริหารอย่างถูกต้อง หรืออีกกรณีคือการสืบทอดตามแบบฉบับของหลักความเชื่อเดิมนั้นคือตามบุคคล “พี่ใหญ่” “พี่ชายคนโต” โดยไม่ได้มีเกณฑ์ หรือกระบวนการเพื่อพิสูจน์ความสามารถในการผลักดันธุรกิจครอบครัว อีกกรณีหนึ่งคือคาดหวังว่าทุกคนจะอยู่ในระดับเท่ากัน รักกัน และดูแลธุรกิจครอบครัวไปด้วยกัน “เน้นครอบครัว หาใช่ระบบที่ถูกต้อง” หลักความคิดดังกล่าวแม้มีเจตนา หรือความเชื่อที่ดี แต่หากไม่ได้วางแผนการสืบทอดอย่างเป็นระบบ การสืบทอดธุรกิจครอบครัวก็จะไม่เกิดขึ้นเนื่องจากผู้รับช่วงต่อไม่มีความสามารถเพียงพอ หรือคนที่มีความสามารถก็ไม่อยากเข้ามาทำงานเพราะทุกอย่างได้ถูกวางหมากไว้หมดแล้ว
หลายธุรกิจครอบครัวที่คาดหวังปรากฏการณ์จากวลีที่บอกว่า “เดี่ยวก็มีเด็กเข้ามาช่วยเอง หากไม่มีก็ขายทิ้ง” เราจะยอมเสี่ยงกับต้นทุนกงสีที่ครอบครัวสร้างมาหลายชั่วอายุคนเพียงเพราะเราไม่ได้วางกระบวนอย่างถูกต้องเท่านั้นเองหรือ? ตั้งคำถามว่าการสืบทอดที่ไม่ได้วางแผนเกิดจาก ไม่ทราบถึงความจำเป็นที่ต้องวางแผน หรือกงสีเพียงแค่กลัวการวางแผนที่ต้องสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา และเกิดคำถามมากมายที่ต้องจัดการหรือไม่? หากเป็นเช่นคำถามแรกการวางแผนสืบทอดธุรกิจครอบครัวเป็นเรื่องที่จำเป็นและจะต้องสร้างโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หรือหากเป็นเช่นคำถามที่สอง กงสีคุณกำลังหลีกหนีปัญหาใต้พรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้หรือไม่? และหากไม่ดำเนินการอย่างเป็นกระบวนการ กงสีก็จะสูญเสียบุคลากรในครอบครัวที่มีความสามารถ และอาจพร้อมในการสืบทอดกิจการต่อ มากไปกว่านั้นมั่งคั่งในกงสีก็จะลดน้อยถอยลงจนสุดท้ายอาจต้องปิดกิจการ หรือขายทิ้งเพียงเพื่อเอาเงินมาหารกันภายในหมู่ครอบครัว คุณอยากให้เป็นอย่างนั้นหรือไม่?
ธุรกิจครอบครัวหนึ่งที่คุณพ่อมีลูกถึง 3 คนโดยคิดเองว่าลูกทั้ง 3 คนนั้น “รักองค์กร” และอยากสานต่อธุรกิจที่บ้าน คุณพ่อจึงนิ่งนอนใจไม่วางแผนสืบทอดกิจการทั้งด้านการบริหาร และความเป็นเจ้าของ ครอบครัวดังกล่าวจึงไม่ตั้งกฎเกณฑ์การขึ้นตำแหน่ง ไม่มีกระบวนการสืบทอดการบริหาร และไม่มีกระบวนการการโอนความเป็นเจ้าของ (หุ้นยังอยู่ที่คุณพ่อทั้งหมด) แต่เมื่อเวลาผ่านไปลูกคนกลางกับคนเล็กได้บอกกับคุณพ่อว่าจะลาออกจากการทำงานในธุรกิจที่บ้าน และขอสร้างธุรกิจตนเอง คุณพ่อได้ยินดังกล่าวก็ตกใจพร้อมกับใจสลายเป็นอย่างมาก เพราะไม่คาดคิดว่าลูกทั้ง 2 คนจะกล้าเอ่ยปากบอกเช่นนั้น หลังจากที่ครอบครัวให้เข้าไปให้คำปรึกษา และได้สัมภาษณ์ลูกทั้ง 2 ท่าน จึงได้ความว่าแม้คุณพ่อจะเอ่ยว่ากิจการที่สร้างเป็นของทุกคน แต่ในความเป็นจริงแล้วลูกทั้ง 2 กลับรู้สึกว่าคุณพ่อได้สร้างอาณาจักรนี้ให้เพียงแต่พี่คนโตเท่านั้น ทางพวกเขาทั้ง 2 เป็นเพียงหมากเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับพี่ชายเท่านั้น ความน้อยเนื้อต่ำใจเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิด แม้กระทั้งพ่อเอง ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นประกอบกับการให้คำปรึกษาในครอบครัวสะท้อนให้คุณพ่อเห็นตนเองว่า การสืบทอดกิจการที่แท้จริงนั้นสามารถแยกระหว่างการถือหุ้น และการบริหารได้โดยสุดท้ายครอบครัวดังกล่าวได้มีการจัดสรรการถือหุ้นใหม่ให้พี่น้องสามคนมีสัดส่วนการถือหุ้นที่ครอบครัวได้ตกลงกัน นั้นคือการแบ่งตามความเป็นสมาชิกครอบครัว และการร่วมทำงานในธุรกิจครอบครัว (หากใครออกจากกิจการก็จะต้องโอนหุ้นการทำงานให้แก่สมาชิกครอบครัวท่านอื่น) และมีการวางแผนการสืบทอดการบริหารใหม่ โดยจัดเกณฑ์การขึ้นมาเป็นผู้บริหารครอบครัว (C-Level) ว่าจ้างมืออาชีพ กำกับดูแลโดยโครงสร้างกรรมการซึ่งคุณพ่อ และลูกทั้ง 3 คนอยู่ภายใต้การดูแลดังกล่าว
หากกล่าวโดยสรุป
คำสาปรุ่นที่ 3 เป็นสิ่งที่น่ากลัวในธุรกิจครอบครัว และเป็นจุดเปลี่ยนที่ทุกกงสีจะต้องก้าวผ่านไปให้ได้ จากบทความที่ได้กล่าวข้างต้นทุกคนคงจะเห็นได้แล้วว่าธุรกิจครอบครัวที่ได้ประสบกับคำสาปรุ่นที่ 3 นั้นเกิดจากการไม่ได้วางแบบแผนการดำเนินธุรกิจครอบครัวเพื่อรุ่นถัดไป โดยขาดตกบกพร่องในองค์ประกอบที่ได้กล่าวข้างต้น (วิสัยทัศน์ร่วม โครงสร้าง และการเปลี่ยนแปลง ธรรมาภิบาล การพัฒนาบุคลากร และการสืบทอด) อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายองค์ประกอบไปพร้อมๆ กัน การที่กงสีในยุคปัจจุบันจะสามารถก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้นั้น ธุรกิจครอบครัวมีหน้าที่ในการคิดวิเคราะห์ และวางแผนตามองค์ประกอบ FeF อย่างเป็นกระบวนการ
ในการให้คำปรึกษาธุรกิจครอบครัว มีหนึ่งคำที่ผมได้ให้แง่คิดกับทุกครอบครัวที่ได้ไปให้คำปรึกษา นั้นก็คือ Get Comfort with Discomfort หรือ จงคุ้นเคยกับความไม่คุ้นชิน ธุรกิจครอบครัวเป็นธุรกิจที่ต้องปรับเปลี่ยนไปตามพลวัตรธุรกิจ และครอบครัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ สมาชิกครอบครัวในฐานะเจ้าของจึงจะต้องวางแผน เตรียมกระบวนการพัฒนา และส่งต่อธุรกิจครอบครัวจากรุ่นสู่รุ่นอย่างไม่หยุดพัก นั้นก็เพราะจุดประสงค์ของธุรกิจครอบครัวคือการวางรากฐานเพื่อส่งต่อธุรกิจ และครอบครัวจากรุ่นสู่รุ่น